ชื่อเรื่อง รูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลังเพื่อพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูภาษาไทยระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนในสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๒๖
ผู้วิจัย นางนวพรรด นามพุทธา ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะ ศึกษานิเทศก์ซำนาญการพิเศษ
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลังเพื่อพัฒนาสมรรถนะ การจัดการเรียนรู้ของครูภาษาไทยระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๒๖ มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ ๑) ศึกษาสภาพปิญหา ความต้องการ และแนวทางการนิเทศ ๒) พัฒนารูปแบบการนิเทศ ๓) ทดลองและขยายผลสู่การปฏิบัติจริง การใช้รูปแบบการนิเทศ และ ๔) ประเมินผลการใช้รูปแบบการนิเทศ การดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น ๔ ระยะคือ ระยะที่ ๑ ๑) ศึกษาสภาพปิญหา ความต้องการ และแนวทางการนิเทศ กลุ่มตัวอย่าง ครูภาษาไทย จำนวน ๑๙๖ คน ผู้บริหารสถานศึกษา และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ จำนวน ๑๒ คน ระยะที่ ๒ พัฒนารูปแบบการนิเทศ กลุ่มเป้าหมาย หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ จำนวน ๓๔ คน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๑๒ คน ระยะที่ ๓ การทดลองและขยายผลสู่การปฏิบัติการใช้รูปแบบ การนิเทศ กลุ่มเป้าหมายทดลอง ได้แก่ ผู้นิเทศ และผู้รับการนิเทศจำนวน ๔๑ คน และนักเรียน จำนวน ๒๒๔ คน กลุ่มเป้าหมายขยายผล ได้แก่ ผู้นิเทศ และผู้รับการนิเทศ จำนวน ๗๑ คน และนักเรียน จำนวน ๒๔๐ คน ระยะที่ ๔ การประเมินผลการใช้รูปแบบการนิเทศ กลุ่มเป้าหมาย ทดลอง ได้แก่ ผู้นิเทศ และผู้รับการนิเทศ จำนวน ๗๑ คน และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน ๑๗๔ คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยปรากฏดังนี้
๑. ผลศึกษาสภาพป้ญหา ความต้องการ และแนวทางการนิเทศ พบว่า สภา'พป้ญ'หา การนิเทศโดยรวมมีสภาพป้ญหาอยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการการนิเทศ พบว่า ต้องการ ให้ผู้นิเทศสร้างขวัญกำลังใจโดยการให้ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบการเรียนการสอน และเทคนิค วิธีการสอนรูปแบบใหม่ ๆ ที่ให้ผู้รับการนิเทศเกิดความพร้อมในการรับการนิเทศ สำหรับแนวทาง การนิเทศ ควรมีการศึกษาป้ญหาและความต้องการด้านการนิเทศ ควรมีการระบุป้ญหาสำคัญ และความต้องการนิเทศของครู ควรมีการจัดสนทนาทางวิชาการ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่อง น่าสนใจ
๒. ผลการออกแบบและพัฒนารูปแบบการนิเทศ พบว่า รูปแบบการนิเทศแบบเสริม พลัง เพื่อพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูภาษาไทยระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๒๖ ประกอบด้วย กระบวนการ
ข
นิเทศแบบเสริมพลัง ที่เรียกว่า SPIDER ได้แก่ ขั้นตอนที่ ๑ การสำรวจสภาพพึญหา (Survey)
ขั้นตอนที่ ๒ การวางแผนการนิเทศ (Plan) ขั้นตอนที่ ๓ การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ (Informing) ขั้นตอนที่ ๔ การปฏิบัติการนิเทศ (Do) ขั้นตอนที่ ๕ การประเมินผลการนิเทศ (Evaluation)
และขั้นตอนที่ ๖ การสร้างขวัญกำลังใจ (Reinforcing)
๓. ผลการทดลองและขยายผลสู่การปฏิบัติจริงการใช้รูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลัง เพื่อพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ พบว่า ผู้นิเทศมีความรู้ความเช้าใจและมีทักษะการนิเทศ การสอนหลังได้รับการนิเทศแบบเสริมพลังสูงกว่าก่อนได้รับการนิเทศแบบเสริมพลัง อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ และครูผู้รับการนิเทศ มีความรู้ความเช้าใจและมีทักษะการจัด การเรียนรู้หลังได้รับการนิเทศแบบเสริมพลังสูงกว่าก่อนได้รับการนิเทศแบบเสริมพลัง อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ และผู้นิเทศและครูผู้รับการนิเทศมีความพึงพอใจ โดยรวมอยู่ใน ระดับความพึงพอใจมากที่สุด นอกจากนี้นักเรียนขั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑- ๓ มีความรู้และมี ทักษะในการใช้ภาษาด้านการพึง พูด อ่าน และเขียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .๐๕ และมีเจตคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ภาษาไทยโดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด
๔. ผลการประเมินผลการใช้รูปแบบการนิเทศ พบว่า จากผลการประเมินการใช้รูปแบบ การนิเทศแบบเสริมพลัง เพื่อพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูภาษาไทยระดับมัธยมศึกษา ตอนต้น โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๒๖ โดยรวม มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการประเมินผลการใช้รูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลัง เพื่อพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูภาษาไทยระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๒๖ โดยรวมอยู่ในระดับความคิดเห็นมาก ที่สุด