ชื่องานวิจัย : การประเมินโครงการพัฒนาครูด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม
ชื่อผู้วิจัย : นางสาวสุพรรษา ธรรมสโรช ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม
บทคัดย่อ
การประเมินโครงการพัฒนาครูด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคมในครั้งนี้ ใช้รูปแบบจำลอง CIPPI (Context-Input-Process-Product-Impact: CIPPI Model) ซึ่งพัฒนาโดยวิโรจน์ สารรัตนะ (2554) ใน 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิตและ ด้านผลกระทบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินโครงการได้มาจากการกำหนดขนาดของกลุมตัวอยางของเครซีและมอร์แกน ได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 5 คน ครู จำนวน 103 คน นักเรียน จำนวน 341 คน ผู้ปกครอง จำนวน 331 คน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม จำนวน 14 คน รวมทั้งหมด 794 คน
เครื่องมือที่ใชในการประเมินโครงการ ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามการประเมินโครงการพัฒนาครู ด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ และ 2) แบบทดสอบวัดความรู้ ความเข้าใจของครูเกี่ยวกับการทำวิจัยในชั้นเรียน ก่อนและหลังการดำเนินโครงการพัฒนาครูด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม เป็นลักษณะเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการประเมินรายงานความก้าวหน้าของโครงการพัฒนาครูด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (

) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (

) และการทดสอบค่าที (t – test for dependent sample)
ผลการประเมินโครงการ พบว่า
1. ผลการประเมินด้านบริบท (Context) ของโครงการพัฒนาครูด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม ในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มากที่สุด (

=4.69,

=0.52) เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด คือ วัตถุประสงค์ของโครงการสอดคล้องกับนโยบายของโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (

=4.85,

=0.55) รองลงมาคือ หลักการและเหตุผลและวัตถุประสงค์ของโครงการมีความสอดคล้องกัน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (

=4.79,

=0.54) ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ วัตถุประสงค์ของโครงการสอดคล้องกับความต้องการของสถานศึกษา มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (

=4.57,

=0.51)
2. ผลการประเมินด้านปัจจัยนำเข้า (Input) ของโครงการพัฒนาครูด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม ในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มากที่สุด (

=4.51,

=0.51) เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด คือ สถานที่ที่ใช้ในการดำเนินโครงการมีความเหมาะสม มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (

=4.76,

=0.52) รองลงมาคือ ผู้บริหารและครูผู้รับผิดชอบโครงการมีความรู้ ความสามารถในการดำเนินโครงการให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มากที่สุด (

=4.70,

=0.52) ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการมีความเพียงพอ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=4.31,

=0.47)
3. ผลการประเมินด้านกระบวนการ (Process) ของโครงการพัฒนาครูด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม ในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=4.45,

=0.50) เมื่อพิจารณารายกิจกรรม พบว่า กิจกรรมที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด คือ การนิเทศภายในด้านการจัดการเรียน การสอนและการทำวิจัยในชั้นเรียน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=4.48,

=0.50) รองลงมาคือ การลงมือปฏิบัติการทำวิจัยในชั้นเรียน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=4.45,

=0.50) ส่วนข้อที่มี ความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ การเผยแพร่ นำเสนอผลงานวิจัยในชั้นเรียนในงานเปิดโลกวิชาการ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=4.42,

=0.49) มีผลการประเมินด้านกระบวนการ (Process) ของแต่ละกิจกรรม ดังนี้
3.1 ผลการประเมินด้านกระบวนการ (Process) ของกิจกรรมที่ 1 การอบรมเชิงปฏิบัติการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการทำวิจัยในชั้นเรียน ในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=4.43,

=0.50) เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด คือ มีการวิเคราะห์และนำผลการประเมินกิจกรรมตามโครงการมาใช้ในการปรับปรุง พัฒนา การดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (

=4.60,

=0.51) รองลงมาคือ มีการประเมินผลการดำเนินกิจกรรมตามโครงการ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (

=4.58,

=0.51) ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ มีการปฏิบัติตามปฏิทินการดำเนินกิจกรรมที่กำหนด มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=4.25,

=0.47)
3.2 ผลการประเมินด้านกระบวนการ (Process) ของกิจกรรมที่ 2 การลงมือปฏิบัติการทำวิจัย ในชั้นเรียน ในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มาก (

=4.45,

=0.50) เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด คือ มีการประเมินผลการดำเนินกิจกรรมตามโครงการมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (

=4.65,

=0.52) รองลงมาคือ มีการวิเคราะห์และนำผลการประเมินกิจกรรมตามโครงการมาใช้ในการปรับปรุง พัฒนา การดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด (

=4.63 ,

=0.51) ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ มีการปฏิบัติตามปฏิทินการดำเนินกิจกรรม ที่กำหนดมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=4.25,

=0.46)
3.3 ผลการประเมินด้านกระบวนการ (Process) ของกิจกรรมที่ 3 การนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนการสอนและการทำวิจัยในชั้นเรียน ในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มาก (

=4.48,

= 0.50) เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด คือ มีการประเมินผลการดำเนินกิจกรรมตามโครงการ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (

=4.80,

=0.54) รองลงมาคือ มีการวิเคราะห์และนำผลการประเมินกิจกรรมตามโครงการมาใช้ในการปรับปรุง พัฒนา การดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (

=4.61,

=0.51) ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ มีการปฏิบัติตามปฏิทินการดำเนินกิจกรรมที่กำหนด มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=4.27,

=0.47)
3.4 ผลการประเมินด้านกระบวนการ (Process) ของกิจกรรมที่ 4 การเผยแพร่ นำเสนอผลงานวิจัยในชั้นเรียนในงานเปิดโลกวิชาการ ในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มาก (

=4.42,

= 0.49) เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด คือ มีการวิเคราะห์และนำผลการประเมินกิจกรรมตามโครงการมาใช้ในการปรับปรุง พัฒนา การดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด (

=4.62,

=0.52) รองลงมาคือ มีการประเมินผลการดำเนินกิจกรรมตามโครงการ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (

=4.61,

=0.53) ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ มีการดำเนินกิจกรรมตามแผนที่กำหนดไว้ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=4.11,

=0.46)
4. ผลการประเมินด้านผลผลิต (Product)
4.1 ผลการประเมินด้านผลผลิต (Product) ของโครงการพัฒนาครูด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม ในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มาก (

=3.73,

=0.14) เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ผู้บริหารสามารถตรวจสอบการทำงานของครูอย่างมีประสิทธิภาพ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=3.93,

=0.15) รองลงมาคือ ครูได้พัฒนาเทคนิค วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ ส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

= 3.84,

=0.14) และผู้บริหาร ครู นักเรียน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครอง ได้รับประโยชน์จากการทำวิจัยในชั้นเรียนของครู มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=3.84,

=0.15) ส่วนข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ มีนักเรียนได้รับการดูแลช่วยเหลือ ส่งเสริม แก้ไขปัญหา และพัฒนาตามศักยภาพและความแตกต่างรายบุคคล มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=3.56,

=0.13)
4.2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนการทดสอบวัดความรู้ ความเข้าใจของครูเกี่ยวกับการทำวิจัย ในชั้นเรียน ก่อนและหลังการดำเนินโครงการ พบว่า คะแนนการทดสอบวัดความรู้ ความเข้าใจของครูเกี่ยวกับการทำวิจัยในชั้นเรียน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนดำเนินโครงการ เท่ากับ 9.50 และคะแนนเฉลี่ยหลังดำเนินโครงการ เท่ากับ 19.50 เมื่อเปรียบเทียบคะแนนการทดสอบวัดความรู้ ความเข้าใจของครูเกี่ยวกับการทำวิจัยในชั้นเรียน ก่อนและหลังการดำเนินโครงการ พบว่า คะแนนการทดสอบหลังดำเนินโครงการสูงกว่าก่อนดำเนินโครงการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
5. ผลการประเมินด้านผลกระทบ (Impact) ของโครงการพัฒนาครูด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม ในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มาก (

=4.10,

=0.15) เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ผู้บริหาร ครู นักเรียน คณะกรรมการสถานศึกษา ขั้นพื้นฐานและผู้ปกครอง มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เพื่อร่วมมือแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพผู้เรียนมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=4.46,

=0.17) รองลงมาคือ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=4.27,

=0.16) ส่วนข้อ ที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ ความรู้ที่ได้รับจากโครงการสามารถนำไปใช้กับการปฏิบัติงาน ที่รับผิดชอบ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (

=3.76,

=0.14)
ดาวน์โหลด คลิก